วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สิ่งที่ง่ายแต่ทำไมเข้าใจ(จริงๆ)ยาก



วันนี้ไปส่งเพื่อนที่มีเรื่องไม่สบายใจ ไปกราบและฟังธรรมจากท่านวรบูรณ์ หวังว่าถ้ามีบุญและปัญญาไม่บอดมากจะได้อะไรกลับมาคิด และเป็นแนวทางในการขจัดทุกข์  ท่านฟังปัญหาของเพื่อนเราแล้วท่านก็นั่งคิดอะไรสักพัก
จนบรรยาการออกกระอักกระอ่วน มีคนเข้ามาฟังสมทบอีกสองกลุ่มใหญ่ จนนั่งกันเต็มบ้าน(กุฎิ)ของท่าน ท่านเริ่ม
พูดโดยไม่เจาะจงถึงปัญหา แต่ท่านเริ่มจากจุดเริ่มต้น เริ่มจากศูนย์ คืออธิบายว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร

สรุปความว่าพระพุทธเจ้าค้นพบวิธีพ้นทุกข์ซึ่งเป็นวิธีที่หลุดพ้นแบบเบ็ดเสร็จ ถ้าเราไปจนถึงปลายทางนี้ก็จะ จบ จริงๆ จะว่าง ไม่เหลืออะไรอีกต่อไป ทำไมต้องจบแบบสิ้นซาก นั่นเพราะถ้าจะแก้หนึ่งปัญหา แบบที่เราเข้าใจ เช่นเกลียดเจ้านาย ลาออกไปหางานใหม่ ปัญหาเก่าแก้ได้ แต่ต่อไปก็จะมีปัญหาอื่นมาอีกเรื่อยๆ แก้ปัญหาด้วยวิถีทางโลกแบบนี้ ท่านว่าโง่ เพราะมันไม่ใช่ปัญหาจริง มันไม่ใช่แม้แต่ปัญหาด้วยซ้ำ เพราะเราเองสร้างให้เป็นปัญหาด้วยใจของเราเอง ที่เราเกลียดเจ้านาย ความเกลียด ในความเป็นจริงไม่มี เราเองสร้างขึ้นมาในใจ เราเรียกมันว่าความเกลียด เราเกลียดเจ้านาย ที่จริงเราเองนั่นแหล่ะ สร้างปัญหาขึ้นเอง ปัญหาหรือทุกข์แบบนี้ ท่านว่าไม่ใช่ปัญหาหรือทุกข์จริง (มีชื่อบาลี แต่อย่าจำเลย เดี๋ยวก็ลืม) ทุกข์จริงคือสิ่งที่ เราเปลี่ยนไม่ได้ ตัวอย่างคลาสสิคสุดคือร่างกายที่เป็นโรค เหี่ยว แก่ของเรา อันนี้ทุกข์จริง ไม่มีทางเปลี่ยนได้ มีทุกข์ก็ต้องยอมรับ อยู่กับมันไปให้ได้ อันนี้ทำให้นึกถึงเจ้าคุณนอ ท่านเป็นมะเร็งใช่ไหม ก้อนเบ้อเริ่มอยู่ที่คอ ขนาดท่านปฏิบัติขนาดนั้น ท่านก็หนี หรือแก้ทุกข์นี้ไม่ได้ท่านก็อยู่กับมัน

ดังนั้นอย่าไปลุ่มหลงอยู่กับทุกข์จริงบ้าง ประกอบสร้างขึ้นมาเองบ้างเหล่านั้นเลย มาปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์พ้นทุกอย่างไปเลยดีกว่าจะถึงสุดทางไม่ถึงอย่าไปกังวล อย่าไปคาดหวัง ขอให้ปฏิบัติ  และที่สำคัญที่พระอาจารย์ที่เคารพอีกท่านคือท่านนันท์ก็เคยย้ำว่าทุกข์นั้น ไม่ใช่จะข้ามได้ด้วยความรู้ การคิด การไตร่ตรอง ไม่ได้มาด้วยการอ่านตำรา การใช้เหตุผลแบบตะวันตกซึ่งกลายมาเป็นวิธีเข้าใจอะไรๆในชีวิตของคนไปทั่วโลก เพราะความรู้ การคิดไตร่ตรอง เหล่านี้ก็เป็นสิ่งประกอบสร้างของมนุษย์เหมือนกัน ไม่ใช่วิถีธรรมชาติ ซึ่งก็คือไม่ใช่วิถีธรรม ฉันคิดว่าจุดนี้สำคัญมาก ก่อนจะเรียนรู้อะไรๆทั้งหมด ต้องเข้าใจจุดนี้เสียก่อน

การรู้ธรรมหรือการปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นนั้น ง่ายๆสามคำ ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีลไม่ต้องไปขอจากพระ ไม่ต้องรักษาศีล ศีลคือร่างกายของเรา รักษาศีลหรือภาวนาคือให้รู้ตัวว่าตัวเราเป็นก้อนๆหนึ่ง มีหัวมีตัว มีแขนขา ประกอบไปด้วยกระดูก เลือด น้ำเหลือง หรือธาตุทั้งสี่ เป็นก้อนเนื้อเลืดดน้ำเหลืองเอ็นกระดูก นั่งอยู่ ยืนอยู่ ก็ให้รู้ตัว นี่แหล่ะคือรักษาศีลแล้ว เมื่อไหร่หยุดรู้ตัว สติไม่อยู่กับก้อนนี้ คิดโน่น กังวลนี่ก็ให้รู้ว่าสติกำลังไปเที่ยว ไปในที่ๆไม่ควรไป เรียกมันให้กลับมาอยู่ที่กาย คอยทำอย่างนี้อยู่ทุกเวลานาที มันจะหนีไปเที่ยวบ่อยๆก็ไม่ต้องกังวลเพราะสติมันแรด ชอบเที่ยว ไม่ค่อย ชอบอยู่กับกาย มันยาก ต้องใช้ความเพียร แต่ท่านว่ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรง แต่ละวันฝึกให้ได้มากเท่าที่จะทำได้

เมื่อฝึกได้มากพอ ไม่ต้องถามว่าเมื่อไหร่ มีเกณฑ์อะไรวัด ฝึกไป พอได้ที่ก็จะเริ่มมีสมาธิ พอสมาธิมีมากพอ เมื่อนั้นปัญญาจึงจะเกิด ปัญญานี่ไม่ใช่สติปัญญาความฉลาดทางโลก แต่เป็นปัญญาจากภายในจิตที่สงบและจะสามารถหยั่งรู้ถึงเหตุแห่งทุกข์และวิธีกำจัดทุกข์ ปัญญาความเข้าใจความจริงตามธรรมชาติ ตามที่เป็นจริง จะเกิดขึ้นตอนนั้น สิ่งนี้ ขอย้ำและท่านก็ย้ำ ไม่ได้เกิดจากความรู้ความฉลาดทางโลก ต้องได้มาด้วย ศีล สมาธิ ต้องได้มาด้วยการปฏิบัติเท่านั้น การปฏิบัติท่านว่าที่จริงไม่ต้องมีแบบแผน วิธีการพวกนั้นเป็นแค่อุบาย เรารู้อย่างนี้ จะไปโง่ติดกับอุบายทำไม ปฏิบัติง่ายอยู่กับตัว ทำได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ คือไม่ต้องมีข้อแก้ตัว

พวกเราคิดกันในใจ (และท่านก็ตอบออกมาดังๆโดยไม่ต้องถามให้มากความ) ว่าเฮ้ย..งั้นปัญหาที่เรามี ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับผู้อื่น เช่นน้องติดยา เราเป็นทุกข์ เรากังวลแทนเขา เราไม่ดูดายไม่ช่วยเขา เราเป็นพี่ที่ห่วยสิ เราไม่รับผิดชอบสิ เราเห็นแก่ตัว เราเอาตัวรอดคนเดียวท่านตอบว่าก็นั่นเป็นปัญหา เป็นทุกข์ของเขา ถ้าเขาไม่แก้ทุกข์ของเขาเอง สิ่งที่เกิดกับเขาเป็นไปตามความจริง เป็นธรรม เป็นธรรมชาติเราต้องเคารพโดยการยอมรับธรรมชาติ มันเป็นวิถีของมันอย่างนั้น อย่าไปคิดคัดค้านธรรม อย่าลบหลู่ธรรมชาติด้วยความคิด
เพราะมันไม่สำเร็จหรอก

ฉันว่าการเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ต้องบอกตัวเองก่อนว่าเข้าใจไม่ได้ด้วยความเข้าใจ ลอจิกแบบทางโลก มันเป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าตรรกะ ทฤษฎีที่ซับซ้อนอันไหนๆที่มนุษย์สร้างขึ้น มันเข้าด้วยจิตลึกและจะเข้าใจได้ด้วยทางเดียว เรียกทางนี้ว่ามรรคก็ได้ทางสายนี้พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่าเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอก เมื่อใดยังไม่ปฏิบัติ ก็ยังไม่ได้แม้แต่ก้าวเท้าแรก ฉันคิดอีกด้วยว่าในศาสนาอื่น เขาเรียก ทาง หรือ มรรคนี้ว่าความเชื่อ ความเชื่อลึกๆข้างในจะพาให้ไปถึงพระเจ้า ซึ่งก็อาจจะคือความจริงนั่นเอง ตะก่อนฉันหลงคิดว่า
ถ้าเรียนจากตำรา ศึกษาว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร ฉันจะเข้าใจได้ แต่มันไม่ต้องใช้สมอง มันใช้จิตต่างหาก

ฉันว่าเราถูกสอนแบบคลาดเคลื่อน วิธีที่เราถูกสอนมันไม่ได้ทำให้เราเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เข้าใจอะไรอย่างถ่องแท้ในโลกใบนี้มีครูเป็นล้านๆ มีวิธีสอนเป็นหมื่นๆ แต่วิธีสอนพระธรรมต้องเข้าถึงแก่น ใครจะคิดอย่างไรฉันห้ามไม่ได้ แต่ท่านวรบูรณ์ เป็นครูธรรมของฉัน และท่านเป็นหนึ่งในพระสองรูป ที่ได้สอนธรรมให้ฉันอย่างแท้จริง

ขอเอาธรรมแสนง่ายนี้มาฝากเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ชีวิตก็มีอยู่เท่านี้ เอาตามความเป็นจริงละกันฮะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น